หลายท่านคงทราบดีว่า ข้าวกล้อง เป็นธัญญาหารอุดมด้วยคุณค่าสารอาหารครบถ้วนที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งในด้านป้องกัน บำบัด และรักษา อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายของเราเกิดความสมดุล โดยมีกลุ่มสารอาหารที่สำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายหลากหลายชนิดจะมีอยู่ในส่วนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว หรือที่เรียกกันติดปากว่ารำข้าว และจมูกข้าวนั่นเอง
ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของโลกเกิดขึ้นอย่างรวมเร็วพร้อมกับการเสื่อมโทรมของธรรมชาติ ทำให้เกิดมลพิษทางธรรมชาติที่มีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตอยู่มากมาย อีกทั้งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่รีบเร่งของหนุ่มสาวชาวเมืองใหญ่ในทุกวันนี้ ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากการรับประทานอาหารอย่างไม่เต็มคุณภาพ ส่งผลให้ร่างกายขาดสารอาหารที่มีคุณค่าไปอย่างน่าเสียดาย
จากการศึกษาทางการแพทย์ พบว่าสาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่มนุษย์เคยมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อเป็นหลักกลับกลายเป็นว่าอัตราการเสียชีวิตของมนุษย์มีสาเหตุมาจาก “โรคเสื่อม(Degenerative Diseases)” หรือภาวะความผิดปรกติของร่างกายที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค ซึ่งสถิติพบว่า โรคที่เกิดจากการติดเชื้อนั้นมีเพียง 10% ของอัตราการเกิดโรคทั้งหมด และอีก 90% ล้วนเป็นโรคเสื่อม (Degenerative Diseases) ซึ่งสามอันดับแรกของโรคเสื่อมที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของคนไทย ได้แก่ โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ ซึ่งล้วนเป็นโรคเสื่อมทั้งสิ้น ซึ่งสาเหตุหลักมาจากสภาวะการขาดสารอาหาร ทำให้เกิดภาวะไม่สมดุลของร่างกาย
จากการศึกษาวิจัยค้นคว้าด้านการแพทย์พบว่า “ในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวมีสารแกมม่า-โอไรโซนอล (Gamma-Oryzanol) ซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและพบมากที่สุดในข้าว โดยเฉพาะในส่วนผิวที่มีสีน้ำตาลอ่อนของข้าวที่ยังไม่ผ่านการขัดสี ที่เราเรียกว่า รำข้าว ดังนั้น แกมมา-โอไรโซนอล จึงพบในน้ำมันรำข้าวมากกว่า ไม่พบในน้ำมันพืชชนิดอื่น และมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ ทำให้ปัจจุบันน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อาหารสัตว์ การใช้กรดไขมันอิสระในการผลิตสบู่ และด้วยคุณสมบัติการซึมซาบที่รวดเร็วจึงใช้เป็นส่วนประกอบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เป็นต้น
สำหรับวิธีการสกัดน้ำมันรำข้าว และจมูกข้าวนั้นสามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีการสกัดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ สกัดโดยวิธีบีบเย็น (Cold press extraction) ซึ่งต้องให้ความใส่ใจตั้งแต่การคัดเมล็ดพันธุ์ข้าวเจ้าที่ดีที่สุด และเป็นเมล็ดพันธุ์แท้เท่านั้นโดยคัดเลือกจากแหล่งที่ไว้ใจได้ และมีการควบคุมต่าง ๆ โดยเฉพาะข้าวสีดำชนิด Rice berry มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าข้าวทั่วไป และหลังจากแยกข้าวเปลือกออกแล้ว ข้าวที่ถูกส่งมาจะมีเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง หรือหนึ่งวันเท่านั้น เพื่อเก็บคุณค่าของรำข้าวและจมูกข้าวให้ได้มากที่สุด และเมื่อถึงโรงงานต้องผ่านเครื่องวัดความชื้นของเมล็ดข้าว (Near-Infrared System) หากข้าวล็อตนั้นมีความชื้นมากเกินไป จะถูกตัดจากสายการผลิตทันที และเมื่อได้รำข้าวและจมูกข้าวที่ดีแล้ว ก็จะนำเข้าเครื่อง Expander ผ่านไอน้ำอุณหภูมิ 110-120 องศาเซลเซียส และอบแห้ง เมื่ออบแห้งเสร็จเรียบร้อย จึงนำเข้าสู่ขั้นตอนการสกัดมาเป็นน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว โดยต้องไม่ใช้สารเคมีเอ็กเซน (Hexane) ในกระบวนการผลิต เพื่อทำให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภคในระยะยาว หลังกระบวนการสกัดก็จะได้น้ำมันรำข้าว และจมูกข้าว ซึ่งสามารถคงคุณค่าของสาระสำคัญที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ไว้ได้อย่างครบถ้วน
โดยน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวที่สกัดได้จากกรรมวิธีพิเศษนี้จะไม่มีการใส่วัตถุกันเสีย และไม่มีการเติมสารเคมีหรือแต่งสี ซึ่งสีของน้ำมันจะเป็นสีตามธรรมชาติ คือ สีน้ำตาลเข้มคล้ำ มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และเมื่อตั้งทิ้งไว้ระยะหนึ่งจะพบมีตะกอนของ สารสเตอรอลจากพืช (Phytosterol) นอนก้นอยู่เล็กน้อย ซึ่งแสดงว่าเป็นน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวบริสุทธิ์เป็นของแท้มีคุณภาพสูง และเป็นแหล่งรวมสารอาหารที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่า 10 ชนิด อาทิ สารแกมม่า-โอไรโซนอล (Gamma-Oryzanol) ลดโคเลสเตอรอลและไขมันในร่างกาย, วิตามินอีคอมเพล็กซ์ ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์, เอ็นไซม์และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการขจัดพิษจากตับและเซลล์อื่น ๆ ทั่วร่างกาย เป็นต้น
น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายด้าน แต่ไม่ได้เป็นยาเพื่อรักษาอาการของโรคเหล่านั้น เพียงแต่สารอาหารที่อยู่ในน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว ทำให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ร่างกายจึงสร้างภูมิต้านทานต่อโรคต่าง ๆ หรือบำบัดอาการของโรคเรื้อรังต่าง ๆ ด้วยตัวเอง แต่อย่างไรก็ตามการรับประทาน ควรคำนึงถึงจุดสมดุลของร่างกายด้วย โดยเฉพาะควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิดจะดีที่สุด
บทความโดย:health-protect.com