รู้จักกับ “ไวรัสตับอักเสบซี”
โรคไวรัสตับอักเสบซี เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี สามารถติดต่อกันได้หลายวิธี อย่างเช่น ผ่านทางเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือเพศสัมพันธ์ พบโดยเฉลี่ยประมาณร้อยละ 1 - 2 ของประชากรไทย โดยพบมากทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อไวรัสเข้าไปในร่างกายแล้ว มันจะอาศัยอยู่ที่ตับ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีส่วนใหญ่ไม่มีอาการ มักตรวจพบได้จากการตรวจสุขภาพหรือจากการบริจาคเลือด ผู้ปวยมักจะมีการอักเสบของตับน้อยๆ แต่เรื้อรัง ทำให้เกิดพังผืดในตับ นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมีโอกาสเกิดมะเร็งตับในที่สุด
เชื้อไวรัสตับอักเสบซีติดต่อกันอย่างไร ?
1. จากการรับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีอยู่
2. การสักหรือเจาะตามร่างกาย
3. การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน โดยเฉพาะผู้ที่ติดยาเสพติด
4. การติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการติดต่อจากมารดาไปสู่ทารก พบได้น้อยมาก
5. ยังไม่มีหลักฐานว่าการรับประทานอาหารร่วมกัน หรือการทำงานด้วยกันตามปกติ จะทำให้ติดต่อได้
การตรวจวินิจฉัยโรคไวรัสตับอักเสบซี ทำได้โดย
1. การตรวจการทำงานของตับ ซึ่งบ่งถึงการอักเสบของตับ
2. ตรวจหาหลักฐานของการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี โดยการตรวจ anti-HCV หากให้ผลบวกแสดงว่ามีการติดเชื้อ และตรวจหา HCV RNA ซึ่งจะบอกถึงปริมาณไวรัสซี นอกจากนั้น การตรวจสายพันธุ์ของไวรัสจะมีความสำคัญต่อการเลือกยาและระยะเวลาในการใช้ยารักษา
3. การตรวจพยาธิสภาพของตับ เพื่อประเมินการอักเสบและพังผืดในตับ ทำได้โดยการเจาะตรวจชิ้นเนื้อตับหรือใช้เครื่องมือพิเศษสำหรับวัดปริมาณพังผืด (ความยืดหยุ่น) ในเนื้อตับ
4. การตรวจ ultrasound และการตรวจเลือดหาสาร alpha-fetoprotein เพื่อประเมินภาวะตับแข็งและมะเร็งตับ
ยาสำหรับรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง ยาที่ได้รับการพิสูจน์ว่ามีประโยชน์และเป็นมาตรฐานการรักษาในปัจจุบัน คือ ยาฉีด Pegylated interferon สัปดาห์ละ 1 ครั้งร่วมกับการรับประทานยา Ribavirin ทุกวัน โดยได้รับยาต่อเนื่องเป็นเวลา 24 - 48 สัปดาห์ อัตราการตอบสนองอาจสูงถึงร้อยละ 90 ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของไวรัสที่เป็น
เป้าหมายของการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบซี
หายขาด ไวรัสตับอักเสบซีหมดไปและไม่กลับมาเป็นอีกภายหลังหยุดยา มีโอกาสหายขาดได้ในบางราย
ลดปริมาณไวรัสตับอักเสบซีลงมาก การอักเสบของตับลดลง ลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะตับแข็งและตับวาย ตลอดจนลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับ
สิ่งที่คุณทำได้ เพื่อต้าน “ไวรัสตับอักเสบ ซี”
ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ทำได้หรือไม่
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนสำหรับสร้างภูมิป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี หลักสำคัญคือ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงของการติดเชื้อ เช่น หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคมหรือเข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการรับเลือดโดยไม่จำเป็น คู่สมรสที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถอยู่ร่วมกันได้ตามปกติ มารดาที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีสามารถให้นมบุตรได้
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซี
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ควรฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบเอและบี ในกรณีที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสดังกล่าว
- ผู้ป่วยโรคอ้วนลงพุง (Metabolic syndrome) มักมีโรคตับลุกลามเร็วขึ้น ควรปฏิบัติตนเพื่อลดภาวะดังกล่าวด้วย
- รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ควรออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ
- ควรพบแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับอย่างสม่ำเสมอทุก 3 - 6 เดือน เพื่อประเมินการทำงานของตับ
ด้วยความปรารถนาดีจาก
ศูนย์ทางเดินอาหาร
โทร 02-836-9999 ต่อ 3421-3
เครดิตข้อความ : http://theworldmedicalcenter.com