บทความ วิธีรักษาตับอักเสบ B วิธีรักษาตับอักเสบ B รายละเอียดบทความ วันที่โพส : 16/4/2017 จำนวนคนเข้าชม : 433 การรักษาไวรัสตับอักเสบบี 1. คนที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังบางคนอาจจะหายเองได้ แต่ส่วนใหญ่จะไม่หายเอง เหตุผลที่ต้องรักษาภาวะตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากผู้ป่วยเหล่านี้มีโอกาสกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้สูงกว่าคน ทั่วไป โดยกลุ่มที่มีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับสูง คือผู้ป่วยชายอายุมากกว่า 40 ปี มีประวัติคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคมะเร็งตับ และมีตับแข็งร่วมด้วย การรักษาโดยการใช้ยานี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกำจัดเชื้อไวรัส ลดการอักเสบของตับ ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคตับแข็งและโรคมะเร็งตับ และลดการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น 2. ยาชนิดฉีดที่ได้ผลดีในปัจจุบันคือ อินเตอร์เฟอรอน (interferon) มีใช้มานานกว่า 20 ปีแล้ว อาศัยหลักการที่สารอินเตอร์เฟอรอนสร้างจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ ซึ่งสามารถกำจัดไวรัสได้ แต่ในผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังมีสารนี้ไม่เพียงพอที่จะกำจัดไวรัส ให้หมดไป จึงต้องให้อินเตอร์เฟอรอนจากภายนอกเข้าไปเสริม ต้องฉีดติดต่อกันนาน 4-6 เดือน โอกาสที่จะกำจัดเชื้อได้หมด พบน้อยกว่าร้อยละ 5 แต่ช่วยลดความสามารถในการแพร่กระจายเชื้อได้ร้อยละ 40-60 (HBeAg จากบวกเป็นลบ, anti HBe จากลบเป็นบวก) และลดการเกิดตับแข็ง และมะเร็งตับได้ แต่อินเตอร์เฟอรอน มีข้อเสียคือ ผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เม็ดเลือดขาวต่ำ เกล็ดเลือดต่ำ ไทรอยด์เป็นพิษกำเริบ และอาการทางจิตประสาท เป็นต้น แต่อาการข้างเคียงเหล่านี้ ไม่ได้พบในผู้ป่วยทุกราย การฉีดอินเตอร์เฟอรอนจะไม่ได้ผลในรายที่เป็นพาหะ 3. ยาชนิดรับประทานที่ได้ผลดีคือ ลามิวูดีน (lamivudine) ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส และอาจมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยกระตุ้นทางอ้อมให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดทีเซลล์ตอบสนอง และกำจัดเชื้อไวรัสได้ดีขึ้น ในระยะแรกจำนวนไวรัสลดลงอย่างมาก เช่นเดียวกันยานี้ใช้ได้เฉพาะในรายที่มีภาวะตับอักเสบมาก่อนเท่านั้น และต้องกินยาทุกวันเป็นเวลานานเป็นปีๆ ผู้ป่วยที่ได้รับยานาน 1 ปี จะทำให้ไวรัสหยุดแบ่งตัวร่วมกับเอนไซม์ตับกลับมาปกติได้ผลประมาณร้อยละ 20 แต่การรักษาจะได้ผลเพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 40 ถ้าผู้ป่วยมีภาวะตับอักเสบปานกลาง ก่อนเริ่มการรักษา ยาลามิวูดีนสามารถก่อให้เกิดไวรัสผ่าเหล่า และดื้อต่อยาได้ โดยถ้ายิ่งกินนานก็ยิ่งมีโอกาสในการเกิดเชื้อผ่าเหล่าและดื้อยามากยิ่งขึ้น ปัจจุบันแนะนำให้ทานยาวันละ 1 เม็ด ติดต่อกันประมาณ 1-1.5 ปี ผลข้างเคียงน้อย ผลการรักษาใกล้เคียงกับอินเดอร์เฟอรอน แต่ข้อเสียคือมักจะหยุดยาไม่ได้ ถ้าหยุดแล้วมักจะมีการอักเสบของตับเกิดขึ้นใหม่ 4. นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาต้านไวรัสชนิดอื่นๆ อีก เช่น อะดีโฟเวีย (adefovir), แอนติคาเวีย (entecavir) ซึ่งในปัจจุบันมีข้อมูลใหม่ๆจากการศึกษาวิจัยพบว่าใช้ได้ผลมากขึ้น เครดิต : https://goo.gl/oNMyj0 ถูกใจบทความนี้ ช่วยกดไลค์หรือแชร์กันหน่อยนะ... เรื่องน่าสนใจอื่น ๆ 29 สุดยอดอาหาร คงความอ่อนเยาว์ 28/9/2012 view time : 827 คงไม่มีผู้หญิงคนไหนปรารถนาที่จะมีตีนกาอยู่บนใบหน้าเป็นแน่ แต่เพราะตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เรื่องของริ้วรอยเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้!! อยากให้ริ้วรอยลดเลือนลงไป แถมมีกระดูกที่แข็งแรง และมีพลังมากกว่านี้บ้างมั้ยล่ะ ลองเติมสุดยอดอาหารเหล่านี้ลงในเมนูของคุณดูสิ ช่วยเหลือตับตัวเองได้ด้วยวิธีง่ายๆสั้นๆต่อไปนี้ 11/2/2018 view time : 441 ตับทำงานหนักเพราะกินบ่อย กินผิดเวลา และอารมณ์โกรธ โมโห อิจฉา เครียด เซลล์ตับจะขอลาโลกไปทีละเซลล์ จนหลักหลายพันหมื่นเซลล์ ถึงเวลานี้เลิกเกลียดกันได้แล้ว ชีวิตนี้สั้นนัก ใครเสี่ยงจะเป็นไขมันพอกตับ 16/4/2017 view time : 285 ใครกันที่เสี่ยงจะเป็นไขมันพอกตับง่ายกว่าคนปกติ มารู้จัก "คอเลสเตอรอล" แบบง่ายๆกันเถอะ 25/1/2018 view time : 611 คอเลสเตอรอลถูกสร้างขึ้นจากตับ มีหนา้ที่ลำเลียงไขมันไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย คอเลสเตอรอลที่มีโปรตีนไขมันสูง หรือเอชดีแอล (HDL,High-density lipoprotein) จัดเป็นคอเลสเตอรอลพระเอกที่ร่างกายต้องการมากกว่าคอเลสเตอรอลชนิดที่มีโปรตีนไขมันต่ำ (LDL, Low-density lipo-protein) ความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้