หากคุณมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวปวดศีรษะ มึนงง สมาธิสั้น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ตาแฉะ และปวดเมื่อยตามเนื้อตัวโดยไม่มีสาเหตุแล้วละก็ คุณควรหันมาใส่ใจระบบการใช้ชีวิตประจำวันให้มากขึ้นอีกนิด เพราะนี่เป็นสัญญาณฟ้องว่าร่างกายของคุณได้สะสมสารพิษ (TOXIN) ไว้มากเกินควร
ที่มาของสารพิษในร่างกาย
สารพิษหรือท็อกซินนี้ เป็นคำรวมที่ใช้เรียกสารพิษทุกชนิดที่เมื่อสะสมในร่างกายแล้วจะก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ ซึ่งมีท็อกซินทั้งที่เกิดขึ้นเองภายในร่างกายและท็อกซินจากภายนอก เช่น เซลล์ที่ตายทุกวัน ของเสียที่เกิดจากกระบวนการย่อยและเผาผลาญอาหารหรือกระบวนการชีวเคมีอื่นๆ ของเสียที่เกิดจากการสะสมของกากอาหาร ของเสียที่เกิดจากอาหารไม่ย่อย เกิดการหมักหมมและบูดเน่าในลำไส้ ฝุ่นควันในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษสารพิษที่ปนเปื้อนมากับอาหาร ฯลฯ
สารพิษต่างๆ เหล่านี้ ปกติร่างกายดำเนินการกำจัดหรือถ่ายเทมันออกตามธรรมชาติอยู่แล้วโดยอวัยวะที่ทำหน้าที่กำจัดของเสียเหล่านี้คือตับ ท่อน้ำดี ไต ผิวหนัง และปอด ในรูปของอุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อไคล และลมหายใจแต่เมื่อเกิดกรณีใดๆ ก็ตามที่อวัยวะเหล่านี้ไม่สามารถขับสารพิษออกไปได้เร็วพอๆ กับที่ถูกสร้างขึ้น ก็จะเกิดการสะสมของสารพิษในร่างกายซึ่งหากสะสมไว้จนถึงระดับหนึ่ง ก็จะมีผลให้ร่างกายเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นได้
แหล่งที่มาของสารพิษ
- อาหารที่รับประทานล้นเกินและไม่ได้สัดส่วน เช่น กินเนื้อสัตว์มาก ไขมันล้นเกิน อาหารฟอกขาว (โดยเฉพาะแป้งและน้ำตาล)อาหารกลุ่มนี้จะถูกย่อยเป็นโมเลกุลละเอียดเหนียวหนึบ ยิ่งถ้ารับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ไม่ชอบรับประทานผักและผลไม้ เมื่อผ่านจากลำไส้เล็กสู่ลำไส้ใหญ่ กากอาหารจะผ่านไปได้ลำบาก เชื้อแบคทีเรียบางจำพวกในลำไส้จะถือโอกาสย่อยสลาย ทำให้บูดเน่า ก่อเป็นสารพิษขึ้นและสารพิษนี้อาจถูกดูดซึมผ่านเข้าสู่กระแสเลือดก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บมากมาย เช่น ภูมิแพ้ มะเร็ง ฯลฯ
- อาหารปิ้ง ย่าง ทอด จนเกรียมจัดซึ่งมีอนุมูลอิสระมาก อนุมูลอิสระเหล่านี้เป็นพิษภายในร่างกายและเป็นสารก่อโรคร้ายอย่างมะเร็งด้วย
- สารปรุงแต่งในอาหาร เช่น ผงชูรสสี กลิ่นสังเคราะห์ สารฟอกสี สารกันบูด สารทำให้กรอบ ฯลฯ
- ฝุ่น ควัน และสารพิษที่เป็นไอระเหย ปนเปื้อนมากับอากาศ
- สารเคมีที่แปรปรวนภายในร่างกายอันเนื่องมาจากความเครียด
ต้องช่วยร่างกายสลายพิษ
วิธีช่วยให้ร่างกายแคล้วคลาดจากสารพิษทำได้ 2 ทาง คือ ป้องกันพิษภัยจากภายนอกและควบคุมปัจจัยที่จะก่อให้เกิดสารพิษภายในร่างกาย ตามวิธีการต่างๆ เหล่านี้
1. กิน ล้างพิษ
หมั่นรับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้นจนเป็นนิสัย เพราะเมื่อย่อย เส้นใยจะกลายเป็นกากอาหาร ทำหน้าที่คล้ายไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ และกระตุ้นให้ร่างกายขับถ่าย เป็นกิจวัตร พร้อมกันนี้ให้ดื่มน้ำสะอาดให้มากวันละ 2 – 8 แก้ว เพื่อป้องกันกากอาหารแข็งตัวการรับประทานผักและผลไม้นี้ ควรเลือกชนิดที่ปลอดภัยจากสารพิษหรือล้างจนแน่ใจ
น้ำคั้นผักหรือผลไม้ (น้ำเอนไซม์) กับชาสมุนไพรก็ช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ไม่ควรดื่มน้ำสกัดผักผลไม้ที่ผสมกันหลายชนิด และไม่ควรดื่มชนิดใดชนิดหนึ่งซ้ำๆ กันเป็นเวลานาน เน้นความหลากหลาย
2. อด ล้างพิษ
ผลดีของการอดอาหารอยู่ที่ตับและลำไส้ได้พักผ่อน โดยเฉพาะตับซึ่งทำหน้าที่หนักมากทั้งย่อย กรอง และกำจัดสารพิษในอาหาร คนที่ตับไม่แข็งแรงหรือหย่อนศักยภาพ มักพบว่ามีระดับของการสะสมสารพิษในร่างกายสูง อย่างไรก็ตาม ร่างกายยังคงต้องการวิตามิน แร่ธาตุและน้ำตาลธรรมชาติ เพื่อแปรเป็นพลังงานทุกวัน ในการอดอาหารเพื่อ ล้างพิษ นั้น จึงควรดื่มน้ำคั้นผักผลไม้ และสวนล้างลำไส้ใหญ่ควบคู่กันไปด้วย เนื่องจากระหว่างที่อดอาหารจะมีเซลล์ที่ตายแล้วและเป็นโรคถูกเผาผลาญกำจัดออกมามาก ทำให้เกิดมีพิษคั่งอยู่ในเนื้อเยื่อ ซึ่งจะถูกขับออกผ่านไต (ปัสสาวะ) ปอด ผิวหนัง และลำไส้ใหญ่ แต่เนื่องจากระหว่างอดอาหารในลำไส้จะไม่มีกากอาหาร ทำให้ถ่ายไม่ออก หากไม่สวนล้างลำไส้ใหญ่ร่วมด้วย ของเสียจะหนีไปออกทางไต ทำให้ไตต้องพลอยเสียหายไปด้วยได้
3. การสวนล้างลำไส้ใหญ่
ช่วยระบายท็อกซินออกจากร่างกายได้มากที่สุด โดยเฉพาะท็อกซินในระบบทางเดินอาหาร วิธีการนี้ทำได้โดยการสวนน้ำกาแฟผ่านเข้าทางทวารหนัก กาเฟอีนในกาแฟจะกระตุ้นตับและถุงน้ำดีให้ขับไล่พิษ ขยายท่อน้ำให้โล่งช่วยให้ลำไส้บีบตัว ไล่กากอาหารที่ตกค้างและส่งเสริมให้เอนไซม์ทำงานได้ดีในการสร้างเม็ดเลือดแดงที่สมบูรณ์ และเพิ่มพลังการนำออกซิเจน สำหรับคนที่ลำไส้ใหญ่สกปรกมากมีคราบหนาเตอะ การสวนครั้งเดียวไม่พอจำเป็นต้องทำซ้ำๆ หลายครั้ง นอกเหนือจากน้ำกาแฟ อาจใช้น้ำมะขามเปียก น้ำสมุนไพรลูกใต้ใบ และน้ำผสมน้ำมะนาว ได้ด้วย
4. ขับพิษทางเหงื่อ
การอบตัวด้วยความร้อนและซาวน่าจะกระตุ้นให้เลือดและน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดีทั่วร่างกาย ไขมันใต้ผิวหนังลดลงการที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น กระบวน-การย่อยและเผาผลาญก็ทำงานดีขึ้น ทำให้ระบบประสาทและต่อมไร้ท่อทั้งหลายถูกกระตุ้น ส่งผลให้เหงื่อออกมาก ซึ่งเท่ากับว่าการขับถ่ายของเสียผ่านเหงื่อก็ถูกกระตุ้นให้ได้ทำงานมากกว่าปกตินั่นเอง
5. ขับพิษทางลมหายใจ
การหายใจคือการสูดเอาออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย และดึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์กับของเสียอื่นๆ ออกไป คาร์บอนไดออกไซด์นั้นหากคั่งอยู่ในเซลล์มาก จะทำให้เซลล์อ่อนแอและตายได้ง่าย โดยทั่วไปการหายใจของเรามักไม่ดีพอที่จะลำเลียงออกซิเจนเข้าไปได้มาก และขนคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาทิ้งในปริมาณที่มากพอ เพราะเรามักหายใจเพียงครึ่งเดียว คือหายใจไม่ลึก การฝึกสูดลมหายใจเข้า – ออกให้เต็มที่คราวละ 5 นาที วันละ 2 ครั้ง ในสถานที่อากาศบริสุทธิ์ จะช่วยให้ขับของเสียออกทางลมหายใจได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การออกกำลังกายทุกวิธีก็ช่วยให้หายใจได้ลึกและมีคุณภาพดีเช่นกัน
6. ขับพิษในอารมณ์
ทุกครั้งที่ร่างกายเกิดความวิตกกังวลเคร่งเครียด ระดับของฮอร์โมนในร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพปกติสู่ความแปรปรวนทำให้ระบบการทำงานของร่างกายสับสน ภูมิต้านทานต่ำ ระบบขับถ่ายผิดปกติ ฯลฯ การนั่งสมาธิสักวันละ 15 นาที หรือการหาวิธีผ่อนคลายอารมณ์ด้วยวิธีการต่างๆ ก็จะช่วยขจัดพิษภัยจากความตึงเครียดนี้ได้
วิธีการเหล่านี้ คุณทำได้เองและทำได้ทันทีอย่ารอให้สุขภาพทรุดโทรมหรือมีโรคภัยไข้เจ็บแล้วค่อยทำ เพราะบางครั้งอาจสายเกินแก้
ขอบคุณที่มาจาก : นิตยสาร Health&Cuisine มีนาคม, Issue 2